วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อิลราชคำฉันท์ : ในการวิจารณ์ด้านทฤษฎีรสของวรรณกรรมสันสกฤต

อิลราชคำฉันท์ : ในการวิจารณ์ด้านทฤษฎีรสของวรรณกรรมสันสกฤต





             อิทธิพลความเชื่อทางศาสนาจากต่างประเทศที่เข้ามาในไทย เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในงานวรรณกรรม ดูได้จากนิทานสันสกฤตของไทย ซึ่งมีที่มาจาก มหากาพย์รามายณะ และมหากาพย์ภารตะ โดยมหากาพย์ทั้งสองเป็นตำรามหากาพย์ที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ความน่าสนใจในตัวมหากาพย์นั้นใช่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่สื่อถึงสงครามหรือเทพเจ้าเพียงอย่างเดียว นิทานหรือเรื่องเล่าที่ตัวละครในมหากาพย์เล่าแก่ตัวละครอีกตัวในเรื่อง(นิทานซ้อนนิทาน) ก็เป็นแรงบรรดาใจของกวีไทยนำมาแต่งเป็นวรรณกรรมเรื่องต่างๆ เช่นเดียวกับวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้านำมาวิจารณ์ต่อไปนี้
             อิลราชคำฉันท์ เป็นวรรณกรรมอีกเรื่องที่มีมาจากเรื่องรามายณะ ในอุตตรกัณฑ์ ปรากฏตัวในไทยครั้งแรกในหนังสือ “บ่อเกิดรามเกียรติ์” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 แล้วจึงมีการนำไปแต่งเป็นคำฉันท์ โดย พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ) เมื่อปี พ.ศ. 2456
             เนื้อเรื่องคราวๆจะเป็นการคุยกันระหว่างพระราม พระภรต และ พระลักษณ์ ที่ปรึกษาเรื่องการทดสอบความจงรักภัคดีของเมืองขึ้นต่างๆ พระลักษณ์จึงเสนอให้ทำพิธีอัศวเมธดีพร้อมกับยกตัวอย่างเรื่องพระอินทร์ที่ทำพิธีนี้เพื่อล้างบาป พระรามได้ฟังก็ชื้นชมพร้อมทั้งเล่าเรื่องท้าวอิลราชให้ทั้งสองฟัง ครั้งหนึ่งท้าวอิลราชไปล่ากวางในป่าพร้อมกับเหล่าข้าราชบริพาร ได้ล่วงล้ำเขตเขาไกรลาสซึ่งเป็นที่ประทับของพระอิศวรและพระอุมา ซึ่งในขณะนั้นพระอิศวรกำลังหยอกล้อกับพระอุมา โดยแปลงกายเป็นผู้หญิงและเนรมิตทุกสิ่งที่อยู่ ณ บริเวณนั้นเป็นเพศหญิงหมดรวมทั้งท้าวอิลราชและเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่แถวนั้น ทำให้ท้าวอิลราชต้องไปขอโทษพระอิศวรเพื่อให้พระอิศวรให้พรกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ทว่าพระอิศวรไม่ให้ พระอุมาจึงให้พรครึ่งหนึ่งเฉพาะท้าวอิลราชโดยให้เดือนหนึ่งเป็นหญิงที่งดงาม แล้วกลับมาเป็นผู้ชายในเดือนต่อมาสลับกัน และในขณะที่เป็นหญิงนั้นก็จำเรื่องราวตอนเป็นผู้ชายไม่ได้ เช่นเดียวกับตอนที่กลับคืนมาเป็นผู้ชายที่จำตอนเป็นผู้หญิงไม่ได้เช่นกัน ตั้งแต่นั้นมาท้าวอิลาราชก็สลับร่างกลายเป็นผู้หญิงที่ชื่อว่า นางอิลา ไปๆมาๆคนละเดือนอยู่อย่างนั้น    จนกระทั้งท้าวอิลาราชในร่างนางอิลาที่จำเรื่องราวของตนเองไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกันในป่าพร้อมกับเหล่าข้าราชบริพารที่กลายเป็นหญิง พบกับพระพุธที่กำลังบำเพ็ญเพียร ขณะที่เหล่านางอิลาเล่นน้ำ พระพุธหลงใหลในนางอิลาจึงได้ถามความเป็นมาของนางอิลาซึ่งนางเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนเองและเหล่านางต่างๆเป็นใคร พระพุธจึงเพ่งญาณดูทำให้รู้ถึงความเป็นมาของนางอิลา จึงบอกกับเหล่านางต่างๆว่าเป็นกินรีอาศัยอยู่ในเขา ส่วนนางอิลาก็พากลับไปที่อาศรมอยู่ร่วมกัน เมื่อครบเดือนนางอิลากลับมาเป็นท้าวอิลราชที่จำอะไรไม่ได้แล้วถามพระพุธว่าเหล่าข้าราชบริพารที่ตามมาล่ากวางด้วยหายไปไหนหมด พระพุธจึงตอบว่าโดนหินหล่นลงมาทับตายหมด ท้าวอิลราชเสียใจเมื่อได้ฟังจึงตกลงจะบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่อาศรมตามคำชวนของพระพุธ จนเวลาล่วงเลยไป 9 เดือน นางอิลาได้กำเนินลูกขึ้นมาชื่อ ปุรุรพ พระพุธด้วยความสงสารท้าวอิลราชจึงได้เรียกรวมเหล่าฤษีเพื่อปรึกษาหาวิธีแก้ พระกรรทม พ่อของท้าวอิลราชจึงได้เสนอให้ทำพิธีอัศวเมธบูชาพระอิศวร ทั้งหมดจึงตกลงที่จะทำพิธีดังกล่าว ทำให้พระอิศวรนั้นพอใจและประทานพระให้ท้าวอิลราชกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยไม่ต้องกลับมาเป็นผู้หญิง
             ทางด้านรูปแบบวรรณกรรม อิลราชคำฉันท์ใช้รูปแบบคำประพันธ์ประเภทฉันท์ 15 ชนิด ได้แก่ กมลฉันท์ โตฎกฉันท์ ภุชงคประยาตฉันท์ มาณวกฉันท์ มาลินีฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ สัทธราฉันท์สาลินีฉันท์ อินทรวิเชียรฉันท์ อินทวงศ์ฉันท์ อีทิสังฉันท์ อุปชาติฉันท์ อุปัฏฐิตาฉันท์ และอุเปนทรวิเชียรฉันท์ กาพย์ 2 ชนิดได้แก่ กาพย์ฉบัง และกาพย์สุรางคนางค์
             เริ่มต้นจะเป็นบทไหว้ครู ซึ่งใช้ชื่อว่า ศุภมัสดุ แต่งด้วยสัททุลวิกกีฬิตฉันท์ โดยข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างบางบทในบทศุภมัสดุเพื่อนำมาวิจารณ์ ดังนี้
                              สรวมชีพอัญชลีนาถพระบาทนฤเบศ
                มงกุฎกษัตริย์เกษตร                                                       สยาม
                               ที่หกรัชสมัยก็ไกรกิติ พระนาม
                 ทรงคุณคามภี-                                                                รภาพ
                               เพียงนารายณ์อวตารรำบาญอริบำราบ
                 เถลิงรัชทวีลาภ                                                                วิไล
                               เปรื่องปรีชาวิทยุตมาภรณไท
                  ธารสัตย์กระพัดใน                                                         กมล
                               บำรุงรัฐสุขวัฒนานิกรชน                                
                  ทั่วรัฐมณฑล                                                                   บำเทิง
             จากฉันท์ที่ยกมา จะเห็นได้ว่าเนื้อหาจะเป็นการสรรเสริญพระเกียรติแก่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 6 ดูจากฉันท์บทแรกที่ยกมา ที่มีความหมายว่า “ขอเดชะพระสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯแห่งแดนสยาม” บทที่ 2 “รัชกาลที่ 6 ผู้ที่ทรงถูกยกย่อง ยิ่งใหญ่ในพระนามและมีความสุขุมลึกซึ้ง” บทที่ 3 “เสมอดั่งพระนารายณ์อวตารมาปราบศัตรู ขึ้นครองราชย์สมบัติ อันงดงาม” บทที่ 4 “เชี่ยวชาญรอบรู้ดั่งแสงฟ้าแลบค้ำจุนประชาและการทรงไว้ซึ่งความจริงล้อมดวงใจ” และบทที่ 5 ที่หมายถึง “ปกครองบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง แลหมู่ราษฎรทั่วทั้งเมืองรื่นเริง”
             โดยรวมแล้วฉันท์ที่ยกมาข้างต้นใน ให้อารมณ์ความรู้สึกหรือภาวะที่สื่อออกมาในภาวะรติ หรือ ภาวะความรัก ซึ่งความรักในที่นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นความรักในแง่ความรักที่เทิดทูนพระมหากษัตริย์ โดยมีการเปรียบให้เป็นเทพเจ้า ในฉันท์บทที่ 3 บาทที่ 1 ว่า“เพียงนารายณ์อวตารรำบาญอริบำราบ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปรียบเทียบสิ่งๆหนึ่งให้กลายเป็นสิ่งๆหนึ่งโดยใช้สิ่งๆนั้นในการช่วยยกระดับ อีกทั้งยังมีการชื่นชมและยกยอในการปกครองบ้านเมืองของกษัตริย์ในบทที่ 5 ที่ว่า
                                         บำรุงรัฐสุขวัฒนานิกรชน                          
                                 ทั่วรัฐมณฑล                                                 บำเทิง
ก็เป็นการแสดงถึง การย่อพระเกียรติในการปกครองบ้านเมืองให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งหมดของฉันท์ที่ยกมาทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งที่กวีถ่ายทอดออกมาในการยอพระเกียรติโดยมีการเอยถึงบุคคลที่ตนได้สรรเสริญถึง ซึ่งมาจากฉันท์บทที่ 1 ที่ว่า  
                                            สรวมชีพอัญชลีนาถพระบาทนฤเบศ   
                                     มงกุฎกษัตริย์เกษตร                                      สยาม
ซึ่งคำว่ามงกุฎกษัตริย์ ก็คือการเอยชื่อโดยย่อของกษัตริย์เพื่อจำกัดจำนวนคำ(ครุ-ลหุ)ในการแต่งตามฉันทลักษณ์ของฉันท์
             ในภาวะหลักย่อมที่ภาวะที่เรียกว่า วยภิจาริภาวะ หรือภาวะเสริมที่ทำให้ภาวะหลักในตัวฉันท์เด่นขึ้น คือภาวะหรรษะหรือภาวะความยินดี ที่มีต่อกษัตริย์ที่ตัวผู้แต่งเทิดทูน ประกอบกับภาวะอวหิตถะหรือภาวะเสแสร้ง คำว่าเสแสร้งในที่นี้ คือการนำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาบีบให้เล็กเพื่อที่จะยกระดับถึงสิ่งที่กล่าวถึงให้ใหญ่กว่า โดยมีตัวเสริมอีกตัวคือการเปรียบเทียบให้เท่ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ เทพเจ้า ดังนั้น การเสแสร้งในที่นี้ก็คือการกล่าวเกินจริงเพื่อให้สิ่งที่กล่าวดูชัดเจนขึ้น และภาวะดังกล่าวย่อมเกิดภาวะที่เรียกว่า อนุภาวะ (ในภาวะเสริม) คือภาวะวิสมยะหรือความน่าพิศวง ที่ภาวะอวหิตถะสะท้อนออกมาโดยการกล่าวเกินจริงและการนำเทพเจ้ามาอ้างถึง
เมื่อมีภาวะเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาด้วยคือ รส รสที่เห็นเด่นชัดที่สุด คือวีรสรคือรสความชื่นชมและสรรเสริญในตัวของบทประพันธ์ โดยมีรสอีกรสที่เรียกว่ารสอัทภุตรส หรือรสที่ความน่าอัศจรรย์ใจ (การใช้สัญลักษณ์และอุปลักษณ์ในการกล่าว) เป็นตัวเสริมรสหลัก
             ทางด้านการใช้ฉันทลักษณ์และคำจะเป็นได้ว่าในบทประพันธ์ที่ยกมาเป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ซึ่งเป็นฉันท์ที่มักใช้ในการแต่งเป็นบทไหว้ครู บทโกรธ และบทย่อพระเกียรติ ในบทประพันธ์ที่ยกมาเป็นส่วนหนึ่งในบทศุภมัสดุ หรือบทไหว้ครู ในเรื่องอิลราชคำฉันท์ จะเห็นได้ว่าเนื้อหาในตัวบทจะเป็นการสื่อถึงการสรรเสริญย่อพระเกียรติเป็นหลัก จากที่เคยได้กล่าวไว้ในการแปลความหมาย แน่นอนว่าทั้งความหมายที่สื่อในตัวบทและวัตถุการใช้ของตัวฉันท์ที่กล่าวไว้ข้างต้น ตรงกัน จึงกล่าวได้ว่าตัวเนื้อหาและฉันทลักษณ์ ที่กวีผู้แต่งถ่ายทอดออกมา มีความพอดีและตรงตามการใช้รูปแบบฉันทลักษณ์ในการสื่อความหมายของเนื้อหา ส่วนเรื่องการใช้คำนั้น แน่นอนว่าในการแต่งฉันท์สิ่งที่สำคัญคือการวางคำครุ-ลหุ ในตัวบท สังเกตว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบการเขียนของคำเพื่อให้สามารถนำคำมาว่างตามฉันท์ลักษณ์ ดูได้จากฉันท์บทที่สองที่ยกมา วรรคแรกที่ว่า“ที่หกรัชสมัยก็ไกรกิติ พระนาม”จะเห็นได้ว่า      คำว่า กิติ ในวรรคแรก เดิมเป็นคำว่า กิตติ แต่มีการแปลงรูปคำเพื่อให้สามารถนำคำดังกล่าวมาว่าตามฉันท์ลักษณ์ของฉันท์ ที่บังคับการวางคำครุ-ลหุ หรือการฉีกคำในวรรคที่ 2 และวรรคที่ 3 ทั้งนี้ในการอ่านออกเสียงในบทที่ยกมา อาจมีการติดขัดบ้างในบางช่วงของการอ่านออกเสียง ซึ่งผู้แต่งอาจเน้นในการแต่งตามฉันทลักษณ์มากกว่าเน้นในเรื่องเสียง
             ในเรื่องเรื่องอิลราชคำฉันท์ ตอนๆหนึ่งที่กวีถ่ายทอดออกมาและเป็นที่จดจำแก่ผู้อ่าน ซึ่งเป็นต้นต่อของปัญหาที่เกิดขึ้นของเรื่อง คือตอนที่ท้าวอิลราชล่วงล้ำเข้าไปในเขตของพระอิศวรแล้วกลายเป็นผู้หญิง  ดังในฉัทน์ที่ยกมาวิจารณ์ต่อไปนี้
                                            อิลราชจรล่า                              มฤคา บ มิแคลง
                                  ลุสถานศิวะแปลง                                ดนุแปลกนยนา
                                            บ่ มิเป็นอิลราช                           วิปลาสอิลา
                                    คณะราชบริพา-                                   ระประดาจรดล
                                              มละเพศบุรุษ                             ดำริสุดจะพิกล
                                     ยลแล้วก็ฉงน                                      เอะประหลาดละซิเรา
                                               อิลเหลือจะตระหนก                  มนะหนัก บ มิเบา
                                      กระอุกระแดดุจเอา                              สุรอัคนิลน
             จากฉันท์ทั้งสี่บทที่ยกมา เป็นบทที่มีเนื้อหากล่าวถึง ท้าวอิลราชไล่ล่ากวางจนเลยเถิดเข้าไปในเขตของพระอิศวรขณะที่พระอิศวรกำลังเนรมิตรทุกอย่างให้ให้กลายเป็นหญิง จนตัวท้าวอิลราชเองก็พลอยกลายเป็นหญิงไปด้วย โดยตีความในแต่ละบทได้ดังนี้
บทที่ 1 กล่าวถึงท้าวอิลราชไล่ตามล่ากวางมาติดๆ จนล่วงล้ำเขาไปในเขตของพระอิศวรที่จำแลงทุกสิ่งจนตัวท้าวอิลราชเองดูแปลกตาไปจากเดิม
บทที่ 2 จากที่เป็นท้าวอิลราช แปรเปลี่ยนไปเป็นนางอิลา รวมทั้งเหล่าข้าราชบริพารที่เสด็จประพาสมาด้วย
บทที่ 3 แปรสภาพไปจากเพศชาย ทั้งความนึกคิดที่ผิดแปลกไปจากเดิม เมื่อได้สังเกตเห็นก็เริ่มสงสัยถึงความเปลี่ยนไปของตัวท้าวอิลราชเอง
บทที่ 4 นางอิลา(ท้าวอิลราช) ตกใจเป็นอย่างมาก กระวนกระวาน ร้อนรนเหมือนเอาไฟมาลน
             จากการอ่านผนวกกับการตีความในตัวบท ทำให้เห็นภาวะที่โดดเด่น(วิภาวะ)คือ วิสมยะหรือภาวะความน่าพิศวง โดยความน่าพิศวงในตัวบทเกิดจากความวิปลาศแปรเปลี่ยนของท้าวอิลราชที่กลายเป็นนางอิลาเพราะการล่วงล้ำเขาไปในเขตของพระอิศวร การเปลี่ยนแปลงทางเพศอย่างกะทันหันย่อมส่งผลต่อความรู้สึกของท้าวอิลราชและเหล่าข้าราชบริพาร ก่อให้เกิดภาวะที่ตามมา(อนุภาวะ)คือ โศกะหรือภาวะความทุกข์ ซึ่งความทุกข์ที่ว่าเป็นผลมาจากความผิดปกติในสภาพเพศของตน และมีภาวะอื่นเป็นเป็นตัวเสริมให้ภาวะความทุกข์มีความเด่นชัด(วยภิจาริภาวะ)ได้แก่  
           มติหรือภาวะความพินิจพิเคราะห์            :                        มละเพศบุรุษ               ดำริสุดจะพิกล
           ศงกาหรือภาวะความสงสัย                      :                ยลแล้วก็ฉงน                      เอะประหลาดละซิเรา 
           อาเวคะหรือความตื่นตระหนก                 :                      อิลเหลือจะตระหนก     มนะหนัก บ มิเบา
           จินตาหรือภาวะความวิตก                        :               กระอุกระแดดุจเอา              สุรอัคนิลน        
             แน่นอนว่านอกเหนือจากภาวะที่เกิดขึ้นในตัวฉันท์ที่ยกมา สิ่งที่ตามด้วยคือรสในตัวบทวรรณกรรม โดยรสที่ว่าคือรสอัทภุตรส หรือ รสที่เกิดจากความน่าพิศวง โดยรสของความอารมณ์ความรู้สึกพิศวงที่ว่าเป็นผลมาจากภาวะที่เกิดขึ้นหลัก (ภาวะวิสมายะ) ในบท อีกทั้งตัวอนุภาวะ(ภาวะโศกะ) ก็เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดรสในตัวบทที่เรียกว่า กรุณารส หรือรสที่เกิดจากความทุกข์โศกของตัวละคร (ท้าวอิลราช)
             ในเรื่องของฉันทลักษณ์ที่ใช้ในการแต่ง จะเห็นได้ว่าเป็นการแต่งด้วยฉันท์ประเภท โตฎกฉันท์ ซึ่งฉันท์ประเภทนี้มักใช้เป็นบทสำแดงอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร หรือความอัศจรรย์ ซึ่งในเนื้อหาของฉันท์ที่ยกมาวิจารณ์นั้น ก็มีความเป็นอภินิหารหรือความอัศจรรย์ คือการที่พระอิศวรเสกทุกอย่างที่อยู่บริเวณใกล้กับที่ตนประทับแปรสภาพไปเป็นเพศหญิงรวมทั้งตัวท้าวอิลราชและเหล่าข้าราชบริพารด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าทั้งตัวเนื้อหาและตัวรูปแบบของฉันทลักษณ์ที่ใช้แต่งมีความสอดคล้องและตรงกัน ทางด้านคำที่ใช้ ส่วนใหญ่จะเน้นในการใช้คำครุ-ลหุ ตามแบบฉันทลักษณ์ของฉันท์ ส่วนในเรื่องเสียงก็จะมีความไพเราะตามแบบฉันท์ที่มีเสียงหนัก เสียงเบา แต่สัมผัสนอกเสียงสระในบทที่ 4 ระหว่าง บาทที่ 1 กับ บาทที่ 2 ไม่สัมผัสกันโดยบาทแรกคำตรงท้ายบาทเป็นเสียงสระโอะ(คำว่า หนก) ส่วนบาทที่สองหากนับตามการวางคำครุ-ลหุคำที่สามของบาทเป็นเสียงสระอะ(คำว่า หนัก)
                                                  อิลเหลือจะตระหนก                  มนะหนัก บ มิเบา
แน่นอนว่าการส่งสัมผัสระหว่างบาทของโตฎกฉันท์ คำที่ 6 ของบาทที่หนึ่งจะสัมผัสคำที่ 3 ของบาทที่สอง นั่นหมายความว่าผู้แต่งเน้นความหมายของตัวบทมากกว่าเรื่องเสียง จึงเป็นจุดที่หนึ่งที่ลดความไพเราะในเรื่องของเสียง
             จากบทศุภมัสดุก่อนเริ่มเรื่อง และบทที่แสดงถึงความแปรเปลี่ยนจากชายกลายเป็นหญิงของท้าวอิลราช ทีนี้มาดูอีกบทบทหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน คือบทที่แสดงถึงพิธีอัศวเมธ ซึ่งตามความหมายของพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้กล่าวไว้ว่า “ชื่อพระราชพิธีเพื่อประกาศพระบรมเดชานุภาพของพระราชาธิราชในวรรณคดีอินเดีย โดยทรงปล่อยม้าอุปการพร้อมทั้งกองทัพเข้าไปในประเทศต่างๆ ถ้าประเทศใดไม่ยอมอ่อนน้อมกองทัพจะเข้าโจมตี เมื่อครบ 1 ปีแล้วกองทัพก็ยกกลับพร้องทั้งพระราชาที่ถูกปราบพระราชาธิราชก็จะจัดพระราชพิธีโดยฆ่าม้านั้นบูชายัญ เรียกว่าพิธีอัศวเมธ” ส่วนในเรื่องเป็นการประกอบพิธีดังกล่าวเพื่อแก้คำสาป โดยจะยกบทที่เป็นอยู่ในช่วงท้ายๆของพิธี ซึ่งเป็นการบูชายัญม้าอุปการ ดังกาพย์ที่ยกมาวิจารณ์ดังนี้
                                           ปางถ้วนปฏิทินถึงวัน                         บรรจวบขวบอัน
                                อัศวพ่าห์มาเมือง                                           
                                            คืนสู่มาฬกมลังเมลือง                        นักสิทธิ์วิทย์เรือง
                                 ก็รับก็รองปองใจ                  
                                             จำเริญวรเวทตรัสไตร                        ตรีวารล่วงไป
                                  ก็ปลงชีวาพาชี
             จากกาพย์ที่ยกมาทั้งสามบท จะเห็นได้ในความหมายรวมว่าเป็นการสื่อถึง พอถึงวันที่ครบกำหนดของพิธี ม้าอุปการก็จะกลับคืนมาสู่เมืองที่อาศัย โดยมีพราหมณ์ให้การรับรองม้าที่วิ่งมาถึง ให้ศีลให้พรจนเมื่อครบสามวันแล้วจึงบูชายัญม้า ซึ่งหากลองตีความในแต่ละบทก็จะได้ดังนี้                                                                                  
 กาพย์บทที่ 1 กล่าวถึง เมื่อครบกำหนดเวลาถึงวัน ประจวบเหมาะปี  อันว่าม้าจะมาที่เมือง                                  
 กาพย์บทที่ 2  กลับคืนสู่ปะรำพิธีอันอร่ามเรือง ผู้ชอบธรรมในวิชาชาญ(พราหมณ์) ก็จะมารับม้าไปดูแล                       กาพย์บทที่ 3 เจริญพรบริกรรมคาถา แถลงกำหนดการพิธี สามวันผ่านไปจึงฆ่าม้า         
             เมื่อนำเอาสิ่งที่ตีความในแต่ละบท มารวมกัน ทำให้เห็นภาวะเด่นๆทั้งสามบท คือ ภยะหรือภาวะความน่ากลัว ความน่ากลัวที่ว่า คือความขลังในพิธีที่ถ่ายทอดออกมาให้ดูศักดิ์สิทธิ์ และในความศักดิ์สิทธิ์ในพิธีที่ว่า ลงเอยด้วยการตายของม้า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอนุภาวะ คือวิสมยะหรือภาวะความน่าพิศวง ที่มีต่อพิธีดังกล่าว(ในสังคมไทยไม่เคยมีการทำพิธีแบบนี้ จึงเป็นข้อแตกต่างทางความเชื่อและวัฒนธรรมระหว่างไทยกับอินเดีย) และสิ่งที่เป็นวยภิจาริภาวะหรือภาวะเสริมของภาวะทั้งสองคือ มรณะหรือ ภาวะความตาย (การบูชายัญม้าอุปการ) และเมื่อได้สัมผัสภาวะในกาพย์ที่ยกมา รสในวรรณกรรมก็จะตามมาเฉกเช่นเดียวกับเงา โดยรสที่ว่าคือ ภยานกรส หรือความกลัวที่มาจากความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีอัศวเมธ โดยมีความตายของม้าอุปการที่ใช้บูชายัญเป็นสิ่งที่เสริมความขลังและความน่ากลัวต่อความรู้สึกของผู้อ่าน ประกอบกับความแปลกประหลาดในพิธีที่ไม่เคยพบเห็นในสังคมไทย ก็เป็นตัวสะท้อนถึงรสในวรรณกรรมอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อัทภุตรส หรือความน่าพิศวง ที่มีต่อตัวบทที่อ่าน
               ทางด้านของฉันทลักษณ์ที่ใช้ในการแต่ง เป็นกาพย์ประเภท กาพย์ฉบัง แน่นอนว่าต้องมีความแตกต่างจากฉันท์ที่ยกมาวิจารณ์ ทั้งในเรื่องฉันทลักษณ์ การวางตำแหน่งของคำครุ-ลหุ แต่ในวรรณกรรมคำฉันท์ กาพย์ที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นกาพย์สุรางคนางค์หรือกาพย์ฉบัง ส่วนใหญ่จะใช้ดำเนินความยาวๆในท้องเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นภาพมากกว่าในการอ่านเมื่อเทียบกับฉันท์ที่มีการบังคับคำครุ-ลหุ และกาพย์เป็นสิ่งที่อ่านและเข้าใจได้ง่ายมากกว่าฉันท์ ส่วนในเรื่องการใช้คำ มีการใช้คำที่รับส่งสัมผัสได้ตรงตามฉันท์ลักษณ์ โดยคำที่สัมผัสทั้งระหว่างบาทต่อบาท และระหว่างบทต่อบท ใช้เสียงสามัญทั้งหมด (วัน-อัน , เมือง-เมลือง-เรือง, ใจ-ไตร-ไป)  ในบทแรกมีการนำคำที่มีความหมายเหมือนกันมาใช้เพื่อเน้นย้ำในความหมายที่กวีต้องการจะสื่อ ดูได้จากบาทที่ 3 ตรงคำว่าอัศว กับคำว่า พ่าห์ ทั้งสองคำที่มีความหมายเดียวกันซึ่งแปลว่า ม้า ในบทที่สองกับที่สามสังเกตได้ว่ามีการเล่นคำ ปรากฏอยู่ในวรรคเดียวกัน
                                            คืนสู่มาฬกมลังเมลือง                        นักสิทธิ์วิทย์เรือง
                                 ก็รับก็รองปองใจ                  
                                             จำเริญวรเวทตรัสไตร                        ตรีวารล่วงไป
                                  ก็ปลงชีวาพาชี
ตามคำที่เน้นดำ จะเห็นได้ว่า ทั้งสองบทตรงวรรคที่สาม มีการนำคำที่ซ้ำมาใช้ในวรรคเดียวกัน (ต่างกันตรงบทที่สามที่ความหมายของคำว่า ชี ต่างกัน)  และกาพย์ทุกบทที่ยกมาวิจารณ์มีการเล่นสัมผัสในในวรรคทั้งในเรื่องเสียงพยัญชนะและเสียงสระอีกด้วย
             ในการนำเรื่องอิลราชคำฉันท์มาวิจารณ์ในด้านทฤษฎีรสในวรรณกรรมสันสกฤต สะท้อนให้เห็นภาวะที่ตัวผู้แต่งเองต้องการสื่อ ถ่ายทอดออกมาเป็นวรรณกรรมและรสทางวรรณกรรมที่ซึมซาบออกมา ภาวะส่วนใหญ่ที่ออกมาจากฉันท์และกาพย์ที่ยกมา ส่วนใหญ่จะเป็นภาวะความน่าพิศวง และความพิศวงนี้เองที่ทำให้เกิดความน่าค้นหาในตัววรรณกรรม และเป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้อ่านสงสัยและพินิจตามในงาน โดยรสที่ได้อาจไม่ตรงกับภาวะได้เช่นกัน เนื้อเรื่องที่มีความแปลก คำที่ใช้ในการแต่ง ฉันทลักษณ์ที่ใช้ ประกอบกับที่มาของเรื่อง ทำให้เรื่องอิลาราชคำฉันท์มีกลิ่นอายทางศาสนา(พราหมณ์-ฮินดู)แฝงอยู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในบรรดาวรรณกรรมสันสกฤต และเป็นเสน่ห์ที่ทำให้กวีไทย นำทั้งตัวเรื่องและฉันทลักษณ์มาใช้ในการสร้างทางวรรณกรรม
              ท้ายที่สุดในการนำวรรณคดีหรือวรรณกรรมเรื่องอื่นมาวิจารณ์ก็ตาม สิ่งที่ได้รับหลังจากการอ่าน คืออารมณ์ ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องที่ได้อ่าน ซึ่งอาจมีความรู้สึกที่มากกว่าหนึ่งก็ได้ในการอ่านวรรณกรรมเรื่องนั้นๆ 


เกร็ดเพิ่มเติ่ม เรื่องราวของอิลราชคำฉันท์ นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกษัตริย์เชื้อสายจันทรวงศ์ในมหากาพย์ภารตะ ซึ่งคาบเกี่ยวกับการกำเนิดของพระพุธ โดยเรื่องมีอยู่ว่าครั้งในดินแดนอมรวดีอันเป็นเมืองหลวงของสวรรค์ (ตามคติอินเดีย) พระพฤหัสบดีซึ่งเป็นครูของฝ่ายเทวดาได้ทำพิธีบูชาไฟเพื่อคอยสนับสนุนเหล่าเทวดา ทำให้เหล่าเทวดาสามารถเอาชนะเหล่าอสูรได้เรื่อยๆ ส่งผลทำให้พระพฤหัสบดีไม่ค่อยมีเวลาใส่ใจนางดาราผู้เป็นภรรยา ทำให้นางดาราที่ระอาสามีได้ไปตกหลุมรักกับพระจันทร์ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันหนีไปอยู่ด้วยกัน 
                เมื่อพระพฤหัสบดีทราบเรื่องก็เดือดดาน ส่งผลต่อพีธีบูชาไฟที่คอยเสริมกำลังให้กับเหล่าเทวดาซึ่งอาจส่งผลทำให้เทวดารบแพ้อสูร ทำให้พระอินทร์ผู้เป็นกษัตริย์แห่งสวรรค์รวมถึงเหล่าเทวดาเข้าข้างพระพฤหัสดี เมื่อเหล่าอสุรเห็นดังนั้นก็สบโอกาสพากันเข้าข้างฝ่ายพระจันทร์โดยมีพระศุกร์ซึ่งเป็นอาจารย์ของฝ่ายอสูรคอยสนับสนุน ก่อเกิดเป็นสงครามความวุ่นวายระหว่างเทวดากับอสูร จนสุดท้ายพระพรหมได้เข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพากบาดหมางของทั้งสองฝ่าย พร้อมกับแนะนำให้พระจันทร์คืนนางดาราให้กับพระพฤหัสบดี 
               ทว่า นางดาราที่หนีสามีมาอยู่กับพระจันทร์เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ทำให้ทั้งพระพฤหัสบดีกับพระจันทร์ต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อของเด็กในท้อง จนลูกที่อยู่ในครรภ์ของนางดาราเอ่ยถามความจริง นางดาราจึงยอมรับสารภาพว่าลูกในครรภ์นั้นเป็นลูกของพระจันทร์ ทำให้พระพฤหัสบดีโกธรจึงสาปให้เด็กที่อยู่ในครรภ์นางดาราเกิดมาไม่มีเพศ ในขณะที่ทุกฝ่ายต่างตกใจกับคำสาป พระอินทร์ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงได้กล่าวว่า นางดาราเป็นภรรยาของพระพฤหัสบดี ดังนั้นลูกที่อยู่ในครรภ์ของนางดาราก็ย่อมเป็นลูกของพระพฤหัสบดี 
                กระทั่งนางดาราได้ให้กำเนิดลูกในครรภ์นามว่า พระพุธ โดยได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระพฤหัสบดีแม้ว่าจะเป็นลูกของพระจันทร์ก็ตาม จนเมื่อพระพุธถึงวัยที่ควรออกเรือนตามความปรารถนาของผู้เป็นแม่ เว้นแต่ว่าคำสาปของพระพฤหัสบดีเมื่อครั้งที่ตนอยู่ในครรภ์ ส่งผลให้ตนไม่มีเพศ และไม่รู้ว่าตนนั้นจะไปเป็นเมียหรือไปเป็นผัวหากได้แต่งงาน นางดาราจึงได้แนะนำให้พระพุทธลงไปบำเพ็ญเพียรยังโลกมนุษย์ในฐานะฤาษี และนั่นก็ทำให้พระพุธได้พบกับนางอิลา ตามท้องเรื่องในอิลราชคำฉัทน์ ซึ่งลูกที่เกิดมามีนามว่า ปุรุรพ หรือ ท้าวปุรูรวัส ซึ่งต่อมาก็คือปฐมกษัตริย์เชื้อสายจันทรวงศ์ ผู้ครองกรุงประดิษฐาน 
                ซึ่งเรื่องราวของกษัตริย์เชื้อสายจันทรวงศ์ ก็ได้ปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่อง ศกุนตลา  ซึ่งก็คือท้าวทุษยันต์ กษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งจันทรวงศ์ และเป็นพระสวามีของนางศกุนตลา และมีพระโอรสคือ ท้าวภรตะ กษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งจันทรวงศ์ ผู้ที่ภายหลังได้เป็นพระจักรพรรดิผู้ครอบครองทั่วทั้งแว่นแคว้นอินเดีย จนถูกขนามนามว่าเป็นดินแดนภารตะ (และเป็นที่มาของชื่อวรรณกรรม มหาภารตะ  อันหมายถึงเรื่องราวของลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากท้าวภารตะ) 
                อีกทั้งกรุงประดิษฐานซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ปกครองโดยกษัตริย์เชื้อสายจันทรวงศ์ ในภายหลังได้ถูกย้ายโดยท้าวหัสติน กษัตริย์องค์ที่ 12 แห่งจันทรวงศ์ มาก่อตั้งเป็นกรุงหัสตินาปุระ ซึ่งก็คือเมืองที่เกิดเรื่องราว มหาภารตะ อันเป็นวรรณกรรมมหากาพย์สำคัญของอินเดียที่ยาวที่สุดในโลก

                                            



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น