วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คติชนร่วมเรื่องสั้น “ฟ้าบ่กั้น” เรื่อง เป-โต

                                                     วิเคราะห์คติชนร่วมเรื่องสั้น “ฟ้าบ่กั้น” เรื่อง เป-โต








เป-โต เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นทั้ง ๑๗ เรื่อง ในหนังสือร่วมเรื่องสั้น “ฟ้าบ่กั้น”  ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร วิทยาสารปริทัศน์ พ..๒๕๑๔ ปรากฏใน “ฟ้าบ่กั้น” พิมพ์ครั้งที่ ๕ สำนักพิมพ์ดวงกลม พ.. ๒๕๒๒ “ฟ้าบ่กั้น” เป็นหนังสือที่รวมผลงานเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของ “คำสิงห์ ศรีนอก” หรือนามปากกา “ลาว คำหอม” ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ในปี พ.. ๒๕๓๔ มีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากอเมริกันในการเข้ามามีบทบาทพัฒนาประเทศและชนบท ซึ่งส่งผลต่อความคิดและวิธีการที่ดูขัดกันกับวิถีชีวิตที่เคยเป็นมาในชนบท จึงถือได้ว่า “ฟ้าบ่กั้น” เป็นเรื่องสั้นที่บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของไทยในสมัย ๒๕๐๐ ออกมาเป็นเรื่องราวที่มีความสมจริงความขบขันของคนในชนบทและแฝงด้วยความสะเทือนใจให้แก่ผู้อ่าน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงคติ ความเชื่อที่มีในสังคมเช่นเดียวกับเรื่องสั้นที่จะกล่าวต่อไปนี้
เรื่องสั้นเรื่อง “เป-โต”  เป็นเรื่องสั้นลำดับที่ ๑๕ ในร่วมเรื่องสั้น “ฟ้าบ่กั้น” กล่าวถึงเรื่องราวของตัวเอกในเรื่อง(ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่อง) บอกเล่าถึงเมื่อครั้งไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านพักตากอากาศแถวฝั่งชลบุรี แต่ขากลับเกิดพายุฟ้าคะนองเสียก่อน จึงจอดรถที่ขับมาตรงขอบถนน เนื่องจากฟ้าที่ตกหนักทำให้รถที่ขับมาสตาร์ทไม่ติดจากละอองฝนที่สาดเข้ามาในหัวเทียนรถ นั้นจึงทำให้เขาพยายามโบกรถที่แล่นไป-มาขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีรถสักคันที่จะจอดให้การช่วยเหลือ ผลสุดท้ายเขาจงจำใจเดินเท้าไปที่ปั่มน้ำมันซึ่งอยู่ห่างออกไปจากบริเวณที่เขาอยู่ เมื่อเดินมาถึงเขาเข้าไปในร้านกาแฟและข้าวแกงเพื่อแวะพัก นั้นจึงทำให้เขาทราบถึงสาเหตุที่รถคันอื่นๆไม่จอดให้การช่วยเหลือจากปากเพื่อนของเขาที่บังเอิญเจอกันในร้าน ว่าบนรถที่เขาขับมามีคนและพระนั่งอยู่ภายในรถ ซ้ำยังได้รับรู้เรื่องราวว่าพระที่นั่งอยู่ภายในรถของเขานั้น คือเปรตพระจากคำบอกเล่าของชายชราเจ้าของร้านที่เป็นคนในพื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนไม่คอยเชิ่อกับเรื่องที่ฟังสักเท่าไรนัก จนกระทั้งเขาเดินออกมาจากร้านเพื่อกลับไปที่รถ เมื่อมาถึงเขาได้พบกับชายคนหนึ่งที่มายืนมุมดูรถข้างกันมีพระสงฆ์รูปหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน นั้นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจซึ่งมันทำให้นึกถึงเรื่องที่เล่ากันในร้าน ชายคนดังกล่าวที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงถามเขาถึงเรื่องรถและแนะนำให้ลองสตาร์ทรถอีกที่ เขาจึงทำตามคำคำแนะนำ และเมื่อมันได้ผล รถกลับมาสตาร์ทติดอีกครั้ง ชายที่แนะนำเขาจึงขอร้องให้เขาฝากไปส่งพระสงฆ์รูปดังกล่าวกลับวัดเพราะรถของชายที่ขอร้องนั้นยางแบน เขาจึงขับรถพาพระไปส่งแต่ในความคิดของเขายังอดคิดถึงเรื่องเปรตพระที่ฟังไม่ได้ จนเมื่อมาถึงวัดเขาจึงได้ถามพระรูปนั้นเกี่ยวกับเรื่องเปรตก่อนที่พระสงฆ์รูปนั้นจะลงจากรถและทิ้งท้ายให้เขารู้สึกผิดที่คิดอกุศลเช่นนั้น
หากดูจากตัวเรื่องแล้วจะเห็นได้ว่า เรื่อง “เป-โต” นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง “ผีเปรต” ตามคติชนคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธที่สะท้อนออกมาในรูปแบบ “คติความเชื่อแบบมุขปาฐะ” เห็นได้จากการเล่าเรื่องของชายชราเจ้าของร้านกาแฟข้าวแกงกับตัวเอกของเรื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชายชราคนดังกล่าวในเรื่อง มีความเชื่อเรื่องสิ่งลิลับ ภูต ผี ปีศาจ อย่างเรื่องเปรตพระ จุดที่น่าสนในเรื่องคือพระที่ชายชรากล่าวถึงให้ตัวเอกฟังนั้นว่า เมื่อมรณะภาพกลายเป็นเปรตอยู่บนสะพานริมถนนทั้งๆ ที่พระที่ชายชราเล่าเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในท้องถิ่น ได้รับเงินปัจจัยจากการเทศน์และมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ นั้นจึงเกิดคำถามว่าพระสงฆ์แม้จะอยู่ในร่มโพธิ์พุทธศาสนาแต่สามารถจะกลายเป็นเปรตที่เป็นสัญลักษณ์การทำบาป ข้อสงสัยดังกล่าวกระจ่างขึ้นจากบทสนทนาระหว่างผู้เล่าเรื่องหรือตัวเอกของเรื่องกับพระสงฆ์ที่อาศัยรถกลับวัด เกี่ยวกับเรื่องเปรต ดังนี้
“อาจารย์ครับ”
ผมพูดขึ้นเมื่อจอดรถสนิท
“เจริญพร”
“เปรตมีไหมครับ?
ท่านเอื้อมมือจะเปิดประตู แต่เมื่อได้ยินคำถามจึงหดมือกลับและกล่าวตอบเสียงเรียบ
“ถ้าเชื่อว่ามี มันก็มี”
“ท่านเชื่อไหมครับ?
“อาตมาไม่เคยเห็น”
“แล้วท่านคิดยังไง คิดว่ามีไหม?
อาจารย์อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“คัมภีร์ทางศาสนาก็มีกล่าวถึงอยู่เหมือนกัน เป็นพวกที่กำลังรับวิบาก”
“อะไรครับ วิบาก?
“ผลจากกรรมชั่ว”
“จำพวกไหนบ้างครับ?
“พวกที่เบียดเบียนพระและวัดวาอาราม ส่วนมากเป็นพวกหากินกับวัด ประเภทไวยาวัจกรหรือมรรคนายก แล้วเบียดบังกินเศษกินเลยกับพระและสมบัติของศาสนา”
“พระเป็นเปรตได้ไหม?
“ได้ ยิ่งเป็นได้ง่าย พวกบวชหาลาภยศ ขายสวรรค์นิพาน ตะกรุด ของขลัง หลอกต้มชาวบ้าน ล้วนเป็นเปรตทั้งนั้นแหละโยม”
                                                                                                                            เป-โต: ฟ้าบ่กั้น

นั้นจึงเป็นสิ่งที่แสดงแสดงให้เห็นถึงคำตอบทางความเชื่อของพุทธศาสนาจากบทสนทนาที่ยกมาข้างต้นนั้น โดยคติความเชื่อดังกล่าวล้วนมาจากพุทธศาสนาที่เน้นสื่อถึงผลแห่งการกระทำหรือกรรม ไม่ว่าจะด้านกาย วาจา ใจ ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก็ล้วนส่งผลทางด้านจิตใจ ซึ่งอาจเป็นทั้งความทุกข์และความสุข ดั่งเช่น ความรู้สึกของตัวเอกในเรื่องที่รู้สึกผิดต่อพระสงฆ์ที่เขาขับรถมาส่งถึงวัดโดยคิดว่าพระรูปดังกล่าวนั้นจะเป็นผีเปรตที่ชายชราเจ้าของร้านเล่าให้ฟัง จากคติความเชื่อในเรื่อง “เป-โต” แสดงให้เห็นว่า คติความเชื่อไม่ว่าจะในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ หรือในทางศาสนาก็ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่ในสังคม ไม่ว่าจะมีการพัฒนาแล้วก็ตาม ความเชื่อเรื่องศาสนาผีก็ยังคงมีหน้าที่ทำให้ศาสนาเด่นชัด ดังเช่นเรื่อง เปรตพระ เป็นต้น

                 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น