วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

มีอะไรในหัวข้อ “โลกของนางนพมาศ” : สรุปหัวข้อเรื่อง ในหนังสือ ปากไก่และใบเรือ

         มีอะไรในหัวข้อ “โลกของนางนพมาศ” : สรุปหัวข้อเรื่อง ในหนังสือ ปากไก่และใบเรือ



บทความนี้เป็นหนึ่งในบทความจากหนังสือเรื่องปากไก่และใบเรือ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์โดยศึกษาจากวรรณกรรมที่แต่งขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 1-4 ซึ่งบทความเรื่อง “โลกของนางนพมาศ” ก็เป็นหนึ่งในบทความที่ศึกษาประวัติศาสตร์ความเปลี่ยนแปลงมุมมองและความคิดทางสังคมในเรื่องโลกทรรศน์ของช่วงต้นรัตนโกสินทร์ผ่านตัววรรณกรรมเรื่อง “นางนพมาศ” หรือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” โดยในบทความดังกล่าว นิธิ ได้เรียงลำดับจากที่มาของวรรณกรรมที่ใช้ศึกษา จนไปถึงการสะท้อนถึงเรื่องโลกทรรศน์ทางสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรม (จากความคิดของผู้แต่ง) แยกเป็นหัวข้อได้ดังนี้
สรุป วรรณกรรมเรื่องนางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นวรรณกรรมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ที่นิธิต้องการอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกทรรศน์ ในช่วงที่อิทธิพลตะวันตกเข้ามามีบทบาทต่อสังคมต้นรัตนโกสินทร์ การเปลี่ยนแปลงโลกทรรศน์ใหม่ในเรื่องนางนพมาศมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการค้าสำเภา-เรือกำปั่นและการเข้ามาของชาวต่างชาติ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือมนุษย์นิยมหรือความเป็นมนุษย์นิยม ในตัววรรณกรรมเรื่องนางนพมาศนั้นมีการมองนางนพมาศในฐานะที่มนุษย์มากขึ้น แตกต่างจากวรรณกรรมเรื่องอื่นๆในสมัยเดียวกัน ดูได้จากการที่ตัวเอกเรื่องเป็นผู้หญิงแต่ได้รับการศึกษาอย่างดีเท่ากับคนชั้นสูง(ชาย) ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัด คือ การพยายามที่จะทำให้ตัววรรณกรรมมีลักษณะที่เป็นวรรณกรรมของสุโขทัย โดยนำข้อมูลความรู้จากประสบการณ์มาสร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของเก่า(สมัยสุโขทัย) ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีการนำพระราชพิธีมากล่าวอ้างเพื่อเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา และการนำเอาโลกทรรศน์เก่า (ฮินดูกับไตรภูมิพระร่วง) มาผสมดัดแปลงให้กลายเป็นโลกทรรศน์ในเรื่องหรือการอิงจากโลกที่ผู้แต่งอยู่ซึ่งแตกต่างจากโลกทรรศน์ (วรรณคดี) เก่ามาใส่ในเรื่อง
      “นางนพมาศ’ เป็นวรรณกรรมเน้นการสั่งสอนพฤติกรรมหญิง แต่แฝงด้วยแนวคิดในเรื่องโลกทรรศน์ ที่ผู้แต่งนำมาใช้งานเขียนซึ่งแตกต่างจากวรรณกรรมก่อนหน้านั้น เป็นวรรณกรรมที่ต้องการสร้างโลกทรรศน์ที่แตกต่างจากโลกทรรศน์เก่า (โดยการรับความรู้จากประสบการณ์มาใช้) และทำให้โลกทรรศน์ที่สร้างขึ้นมานั้น เป็นโลกที่มีอยู่ในยุคสมัยที่เก่ากว่ายุคสมัยที่ผู้แต่งอยู่เป็น “โลก” ใหม่ที่ไม่เหมือนเก่า แต่ก็ไม่แตกต่างไปจากเก่าเสียทีเดียว(ปากและใบเรือ 2555,303) และเป็นโลกทรรศน์ทางวรรณกรรมที่รับอิทธิพลจากโลกทรรศน์ที่มีอยู่ในสังคมของต้นรัตนโกสินทร์


             “พิจารณาหนังสือ นางนพมาศ” เป็นหัวข้อแรกที่ นิธิ ได้อธิบายที่มาของหนังสือและข้อสังเกตจากหลักฐานที่ใช้ระบุช่วงเวลาการแต่งหนังสือนางนพมาศ ซึ่งวรรณกรรมดังกล่าวได้อ้างว่าแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัย แต่เนื่องจากสำนวนภาษาที่ใช้ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ใช้ในวรรณกรรมสุโขทัย ซึ่ง นิธิ กล่าวว่า สิ่งที่หนังสือนี้อ้างถึงไม่เป็นหลักฐาน สอว่าเป็นงานเก่ายุคสุโขทัย แต่กระนั้นก็เป็นต้นแบบที่นำมาดัดแปลงต่อเติม ในพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน ของรัชกาลที่ 5 ด้วยทรงเชื่อว่าอาจจะมีต้นแบบจริง ๆ ที่แต่งในสมันสุโขทัย พระราชพิธีที่เขียนในหนังสือนางนพมาศนั้น บางอย่างก็มี บางอย่างก็สลับสับเปลี่ยนในเรื่องเดือนที่จัดในพระราชพิธีกับบันทึกทางประวัติศาสตร์ และบางอย่างก็ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยแต่มีการอ้างถึง เช่นพระราชพิธีวิสาขบูชา ซึ่งในบทความกล่าวไว้ว่า ไม่มีหลักฐานที่กล่าวถึงในสมัยอยุธยา แต่เพิ่งจะมี พระราชพิธีนี้ในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2360 และพระราชพิธีส่วนใหญ่ จัดขึ้นก่อนสมัยรัชกาลที่ 4  (ซึ่งส่วนใหญ่ในหนังสือนางนพมาศ เป็นพระราชพิธีพราหมณ์) จึงเป็นข้อยืนยันได้ว่า วรรณกรรมเรื่องนางนพมาศ เป็นวรรณกรรมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งสาเหตุที่ผู้แต่งเรื่องนางนพมาศ กล่าวอ้างถึงพระราชพิธีในช่วงรัตนโกสินทร์ ให้ปรากฏ ในสมัยสุโขทัย นิธีได้ให้เหตุผลว่า ผู้แต่งเรื่อง นางนพมาศ ได้อาศัยคำให้การของ ขุนหลวงหาวัด (ฉบับหลวง) หรือ “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” ซึ่งมีฉบับอยู่ก่อน พ.ศ. 2350 (นิธิ 2521, 251-4) และได้อาศัยประสบการณ์ของตนเองในฐานะที่ใกล้ชิดกับราชการ ได้รู้เห็นการพระราชพิธีและพิธีที่จัดในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ปรุงแต่งเขียนขึ้นว่าเป็นสมัยสุโขทัย (ปากไก่และใบเรือ 2553, 296) ซึ่งพระราชพิธีทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนขึ้นในวรรณกรรม ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้แต่งได้ประสบพบเจอมาในชีวิต ประกอบกับการศึกษา จากหลักฐานคำบอกเล่า จึงทำให้ตัวเรื่อง พระราชพิธีในนางนพมาศ จึงมีลักษณะอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าทั้งจุดมุ่งหมายของเรื่องนางนพมาศ ที่เด่นชัดคือ การสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้หญิง ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวก็ไม่ได้แตกต่างจากวรรณกรรมร่วมสมัยเดียวกัน (ต้นรัตนโกสินทร์) เช่น สุภาษิตสอนหญิง กฤษณาสอนน้อง เป็นต้น และจุดมุ่งหมายอีกอย่าง คือต้องการให้นางนพมาศ (ในเรื่องที่สมมติว่ามีตัวตนอยู่จริง) เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงโดยใช้พระราชพิธีที่เขียนขึ้นนั้น แสดงเหตุการณ์ที่พบเจอหรือประวัติของตนเอง ซึ่งเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของผู้แต่งที่ต้องการให้วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ของตนเสมือนเป็นวรรณกรรมสุโขทัย


            หัวข้อที่ 2 “โลกของหนังสือ นางนพมาศ” เป็นการกล่าวถึงช่วงเวลาที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนางนพมาศ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่มีชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในสยามประเทศสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือชาวจีนอพยพเข้ามาซึ่งมีจำนวนเยอะกว่าชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศ แม้ว่าจะมีจำนวนที่เยอะกว่าแต่วัฒนธรรมก็มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งดูได้จากวิธีการักษาหรือการแพทย์ต่างกันตรงเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้รักษาแต่การรักษาใช้การต้มยากินเหมือนกันซึ่งนิธิได้กล่าวในทำนองนี้ สิ่งที่เข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงในสังคมจากการเข้ามาของชาวต่างชาติคือวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ วิทยาการความรู้สมัยใหม่จากตะวันตกส่งผลกระทบต่อโลกทรรศน์เก่าของสังคม วิทยาการความรู้ที่เคยมีถูกแทนที่จาก “ต่างด้าว” ด้วยวิชาการที่ล่ำกว่าและแม่นยำกว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่สั่นคลอนโลกทรรศน์เก่าจากวัฒนธรรมตะวันตก “หนังสือเรื่อง นางนพมาศ จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นวรรณกรรมที่สะท้อน “โลก” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงในความคิดของคนไทย (ชั้นสูง) เอาไว้อย่างเด่นชัด” (ปากไก่และในเรือ. 2555, 303)


             หัวข้อที่ 3 “ลักษณะเด่นของเรื่อง นางนพมาศ ด้านวรรณกรรม” เป็นหัวข้อที่อธิบายลักษณะของเรื่องนางนพมาศ โดยในงานวรรณกรรมเรื่องดังกล่าวมีการใช้ภาษาประเภทความเรียงกึ่งร้อยแก้ว ซึ่งคำประพันธ์ประเภทนี้ส่วนใหญ่มักใช้ในวรรณกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือวรรณกรรมแปลซึ่งจะมีความเป็นนิยายในเรื่อง แต่เรื่องนางนพมาศ นั้นเป็นเรื่องที่ผู้แต่งต้องการที่จะสร้างภาพลักษณ์ของบ้านเมืองในสมัยสุโขทัยโดยที่ไม่ให้เหมือนกับเมืองหลวงที่ตนอาศัย (กรุงเทพฯ) แต่ก็อาศัยเมืองที่ตนเองอยู่นั้นเป็นแบบอย่างของเมืองสุโขทัย 
        เรื่องนางนพมาศพยายามทำให้ในเนื้อเรื่องดูเป็นสมัยสุโขทัย โดยมีการอ้างถึงพระพุทธรูปโบราณในสมัยสุโขทัยเข้าไปในเรื่อง ซึ่งผู้เขียนต้องการให้ฉากเป็นตัวทำให้ตัวเอกของเรื่องหรือนางนพมาศ มีลักษณะเด่นชัดโดยใช้เหตุการณ์หรือฉากในเรื่อง ไม่มีการดำเนินที่ซ้ำในสภาพแวดล้อมเฉพาะ(ผู้เขียนกำหนด) แต่ใจความสำคัญของเรื่องก็ยังคงเป็นการสั่งสอนสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้เรื่องนางนพมาศแตกต่างจากวรรณกรรมร่วมสมัยเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ทีละนิด 
        ในบทความยังกล่าวถึงลักษณะเด่นอีกอย่างคือตัวเอกของเรื่องเป็นผู้หญิง (นางนพมาศ) ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากตัวละครฝ่ายหญิงเรื่องอื่น ๆ โดยผู้แต่งเองไม่ต้องการแต่งตามจารีตเดิม ๆ ที่ผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุที่รอการมาแย่งชิงและไม่ค่อยมีบทอะไรในเรื่อง ซึ่งนางนพมาศเป็นตัวละครที่มีความปรารถนาที่จะให้ตนมีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำจากการนำเสนอเรื่องราวที่พบเห็นและได้กระทำในชีวิตของนางนพมาศ และเป็นสตรีที่ต้องการยกตัวเองว่าเป็นนักปราชญ์ ดูได้จาก “ ...ก็ได้ปรากฏชื่อเสียงว่าเป็นสตรีนักปราชญ์ฉลาดในวิชาช่างอยู่ ซึ่งกัลปาวสาน...”(นพมาศ. 2507, 354) โดยนิธิได้กล่าวในทำนองที่ว่าผู้แต่งเรื่องนางนพมาศ ต้องการเขียนให้ผู้หญิงเทียบเท่ากับผู้ชาย ซึ่งตัวเขาเองก็ได้มองเห็นความสามารถของผู้หญิงที่มากกว่านักเขียนในรุ่นก่อนหน้านั้น โครงเรื่องก็เป็นอีกสิ่งที่บทความได้กล่าวไว้ โดยโครงเรื่องนั้นจะใช้ประวัติของตัวเอกเป็นแกนหลัก เล่าเรื่องแบบเรียบๆ ที่ไม่ได้มีปมปัญหา หรือเป็นนิยาย ทำให้ดูเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารอะไรเหมือนกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ เป็นการเล่าประวัติชาติกำเนิดของตัวเอก (พราหมณ์หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้น) และการศึกษาที่ตนได้เรียนมา ซึ่งในส่วนของการศึกษานั้น นางนพมาศ ได้เล่ามาอย่างละเอียดว่าตนได้ศึกษาอะไรบ้าง การศึกษาดังกล่าวที่นางนพมาศศึกษา เป็นแบบเดียวกับ เจ้าชายหรือชนชั้นสูงที่ผู้ชายในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้นสะท้อนให้เห็นความเป็นมนุษย์ในส่วนของความเท่าเทียมของชายหญิง ในเรื่องการศึกษา ประกอบกับการศึกษาดังกล่าวเป็นตัวแปรที่จะทำให้นางนพมาศนั้นมีชื่อเสียง ในประวัติที่แต่งขึ้นมานั้นก็ยังแฝงด้วยเรื่องทางสังคม เช่น เรื่องการค้าในเมือง ไปจนถึงอาชีพต่าง ๆ ที่ปรากฏ แสดงถึงความเจริญรุ่งเรื่องในนครธรรม อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในเรื่อง คือการกล่าวถึงพระราชพิธี 
         ในเรื่องของนางนพมาศ พระราชวิธี มีหน้าที่ในวรรณกรรมอยู่สามอย่าง  อย่างแรก เป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะของตัวละครให้ดูสมจริงเนื่องจากพ่อของนางนพมาศเป็นพราหมณ์ที่ทำพิธีให้ราชสำนักจึงคลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้นางนพมาศเองก็เช่นกัน อย่างที่สอง พระราชวิธีเป็นสิ่งติดต่อกับโลกภายนอกเนื่องจากตัวของนางนพมาศเป็นคนในรั้วในวังสิ่งที่สามารถบอกเหตุการณ์ต่างๆได้เกี่ยวกับโลกภายนอกก็มีพระราชพิธีที่เคยทำมาแล้วและทำต่อไปในอนาคต และอย่างสุดท้าย พระราชวิธีเป็นเครื่องหมายของการผ่านของเวลา (หน้า310) ซึ่งเป็นกลวิธีในวรรณกรรมที่บอกลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง ของเรื่องที่ใช้กันในวรรณกรรมอยุธยา เช่น เรื่องทวาทศมาส จากลักษณะที่กล่าวทั้งหมดของเรื่องนางนพมาศ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความคิดทางสังคมที่มีต่อโลกทรรศน์ที่เกิดขึ้น ซึ่ง นิธิ ได้กล่าวว่า เรื่องนางนพมาศ นำเสนอสิ่ง “ใหม่”  อย่างแหลมคมและชัดเจนกว่า นำเอาความเปลี่ยนแปลงที่มีมาก่อนหน้าให้ก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง (ปากไก่และใบเรือ 2555,310)


        “โลกของนางนพมาศ” คือหัวข้อที่สี่ ในบทความที่บรรยายถึงโลกทรรศน์ในเรื่องนางนพมาศ เริ่มต้นจากการอธิบายการกำเนิดของมนุษย์ที่อิงมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ แต่ในการแบ่งโลกในเรื่องนางนพมาศเป็นแบบวิธีการแบ่งตามแบบไตรภูมิพระร่วงแต่ต่างกันตรงที่ศูนย์กลางของโลกในเรื่องนั้นไม่มี มีแต่ความเท่าเทียมกัน ซึ่งถือว่าเป็นโลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคม การบรรยายเรื่องภาษาในเรื่องนางนพมาศก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนน่าจะนำเอามาจากประสบการณ์ที่พบในชีวิตของผู้แต่งในเรื่องภาษา นิธิได้กล่าวว่า การบรรยายชาติของภาษาของ โลก” ที่เป็นจริงว่าคือ ความรู้อันควรรู้ (ปากไก่และใบเรือ 2555,313) โลกของมหาจักรพรรดิราชในไตรภูมิพระร่วงแตกต่างกับโลกของมหาจักรพรรดิราชในเรื่องนางนพมาศ โดยไตรภูมิพระร่วงพระมหาจักรพรรดิราชเป็นใหญ่สุดในโลกและทุกอาณาจักรก็ขึ้นตรงกับพระมหาจักรพรรดิราช  ส่วนเรื่องนางนพมาศพระมหาจักรพรรดิราชมีความเท่าเทียมกันกับกษัตริย์อาณาจักรอื่นๆ ซึ่งกษัตริย์ในโลกของนางนพมาศมีความใกล้เคียงกับในโลกปัจจุบัน ส่วนภาษาที่นางนพมาศกล่าวถึงก็หมายถึงประเทศต่างๆที่มีอยู่ในโลก “โลกที่นางนพมาศเสนอจึงเป็นโลกที่ไกลจากโลกในอุดมคติอย่างที่ตำราในอุดมคติไตรภูมิเก่าได้เคยเสนอมา หากแต่เป็นโลกที่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็น “จริง” ตามสายตาและประสบการณ์ในชีวิตสมัยที่ผู้แต่งมียังชิวิตอยู่” (ปากไก่และใบเรือ 2555,316) ซึ่งในความหมายอีกอย่างของตัวโลกของนางนพมาศ เกิดจากประสบการณ์ที่ผู้แต่งได้พบเห็นและถ่ายทอดมาผ่านเรื่องราวและตัวละครของเรื่อง แต่ประสบการณ์ที่ว่าแปรสภาพกลายเป็นความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นให้กลายเป็นความรู้ที่แตกต่างจากความรู้เก่า และเป็นที่ลบล้างความรู้ที่เคยมีมา แต่โลกทรรศน์ของเรื่องนางนพมาศก็ไม่ได้แตกต่างจากโลกที่เป็นอยู่ของผู้เขียนที่เน้นในความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และความสัมพันธ์ของมนุษย์


        “เรื่อง นางนพมาศ ในสายธารแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านโลกทรรศน์ในต้นรัตนโกสินทร์” หัวข้อที่ห้า ที่ต้องการชี้ว่าวรรณกรรมเรื่อง นางนพมาศ ไม่ใช่วรรณกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางโลกทรรศน์เพียงเรื่องแรกและเรื่องเดียว แต่มีวรรณกรรมที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านั้น ดูได้จากวรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิวินิจฉัย ของรัชกาลที่ 1 ซึ่งแตกต่างจากไตรภูมิพระร่วง ทั้งเรื่องศูนย์กลางของจักรวาลที่แต่เดิมคือเขาพระสุเมรุเปลี่ยนมาโพธิบัลลังก์ แทน ให้ความสนใจในหลักธรรมคำสอนมากกว่าการบรรยายเรื่องภพภูมิ อธิบายเรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งในไตรภูมิพระร่วงนั้นไม่มีการกล่าวถึง ทั้งยังมีการนำเอาเรื่องกำเนิดมนุษย์ไว้ที่ต้นเรื่องซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นความสำคัญของมนุษย์ และวรรณกรรมในยุคหลังจากเรื่องนพมาศที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงเรื่องโลกทรรศน์คือ เรื่อง แสดงกิจจานุกิจ ของพระยาทิพากรวงศ์ ที่แสดงออกถึงความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงกว่าเรื่องนางนพมาศ เนื่องจากผู้เขียนเรื่องดังกล่าวมีความคุ้นเคยกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตก จึงทำให้งานเขียนเรื่องแสดงกิจจานุกิจมีเนื้อหาที่โจ่งแจ้งและตรงไปตรงมาในเรื่องโลกทรรศน์โดยเน้นในเรื่องวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ในสมัยนั้น โดยในบทความต้องการจะสื่อถึงความคิดของผู้แต่งทั้งเรื่องแสดงกิจจานุกิจ และ เรื่องนางนพมาศก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากความเปลี่ยนแปลงหรือ “กระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลกทรรศน์” ในสมัยนั้น


        หัวข้อสุดท้าย “ฐานะของเรื่อง นางนพมาศ ในประวัติศาสตร์ความคิด” เป็นการแสดงถึงความคิดในเรื่อง นางนพมาศ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกทรรศน์ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เป็นสิ่งที่ผู้แต่งรับแล้วนำมาปรับใช้ และเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของวรรณกรรมในช่วงนั้นที่แตกต่างไปจากวรรณกรรมรูปแบบเก่า “โลก” ของนางนพมาศจึงเป็น “โลก” ที่สำคัญอันเชื่อมโลกยุคต้นรัตนโกสินทร์  ให้สืบเนื่องกับยุค “ปฏิรูปใหญ่” (ปากไก่และใบเรือ 2555,325)





อ้างอิง

นิธิ เอียวศรีวงศ์ . 2555 . ปากไก่และใบเรือ. พิมพ์ครั้งที่ 4. นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น