มีอะไรในหัวข้อ “โลกของนางนพมาศ” : สรุปหัวข้อเรื่อง ในหนังสือ ปากไก่และใบเรือ
บทความนี้เป็นหนึ่งในบทความจากหนังสือเรื่องปากไก่และใบเรือ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์โดยศึกษาจากวรรณกรรมที่แต่งขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 1-4 ซึ่งบทความเรื่อง
“โลกของนางนพมาศ” ก็เป็นหนึ่งในบทความที่ศึกษาประวัติศาสตร์ความเปลี่ยนแปลงมุมมองและความคิดทางสังคมในเรื่องโลกทรรศน์ของช่วงต้นรัตนโกสินทร์ผ่านตัววรรณกรรมเรื่อง “นางนพมาศ” หรือ
“ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” โดยในบทความดังกล่าว นิธิ ได้เรียงลำดับจากที่มาของวรรณกรรมที่ใช้ศึกษา จนไปถึงการสะท้อนถึงเรื่องโลกทรรศน์ทางสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรม
(จากความคิดของผู้แต่ง) แยกเป็นหัวข้อได้ดังนี้
สรุป วรรณกรรมเรื่องนางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
เป็นวรรณกรรมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ที่นิธิต้องการอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกทรรศน์
ในช่วงที่อิทธิพลตะวันตกเข้ามามีบทบาทต่อสังคมต้นรัตนโกสินทร์ การเปลี่ยนแปลงโลกทรรศน์ใหม่ในเรื่องนางนพมาศมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการค้าสำเภา-เรือกำปั่นและการเข้ามาของชาวต่างชาติ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือมนุษย์นิยมหรือความเป็นมนุษย์นิยม ในตัววรรณกรรมเรื่องนางนพมาศนั้นมีการมองนางนพมาศในฐานะที่มนุษย์มากขึ้น
แตกต่างจากวรรณกรรมเรื่องอื่นๆในสมัยเดียวกัน ดูได้จากการที่ตัวเอกเรื่องเป็นผู้หญิงแต่ได้รับการศึกษาอย่างดีเท่ากับคนชั้นสูง(ชาย)
ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัด คือ
การพยายามที่จะทำให้ตัววรรณกรรมมีลักษณะที่เป็นวรรณกรรมของสุโขทัย
โดยนำข้อมูลความรู้จากประสบการณ์มาสร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของเก่า(สมัยสุโขทัย)
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีการนำพระราชพิธีมากล่าวอ้างเพื่อเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา
และการนำเอาโลกทรรศน์เก่า (ฮินดูกับไตรภูมิพระร่วง)
มาผสมดัดแปลงให้กลายเป็นโลกทรรศน์ในเรื่องหรือการอิงจากโลกที่ผู้แต่งอยู่ซึ่งแตกต่างจากโลกทรรศน์
(วรรณคดี) เก่ามาใส่ในเรื่อง
“นางนพมาศ’ เป็นวรรณกรรมเน้นการสั่งสอนพฤติกรรมหญิง
แต่แฝงด้วยแนวคิดในเรื่องโลกทรรศน์
ที่ผู้แต่งนำมาใช้งานเขียนซึ่งแตกต่างจากวรรณกรรมก่อนหน้านั้น
เป็นวรรณกรรมที่ต้องการสร้างโลกทรรศน์ที่แตกต่างจากโลกทรรศน์เก่า
(โดยการรับความรู้จากประสบการณ์มาใช้) และทำให้โลกทรรศน์ที่สร้างขึ้นมานั้น
เป็นโลกที่มีอยู่ในยุคสมัยที่เก่ากว่ายุคสมัยที่ผู้แต่งอยู่เป็น “โลก”
ใหม่ที่ไม่เหมือนเก่า แต่ก็ไม่แตกต่างไปจากเก่าเสียทีเดียว(ปากและใบเรือ 2555,303)
และเป็นโลกทรรศน์ทางวรรณกรรมที่รับอิทธิพลจากโลกทรรศน์ที่มีอยู่ในสังคมของต้นรัตนโกสินทร์
“พิจารณาหนังสือ นางนพมาศ”
เป็นหัวข้อแรกที่ นิธิ
ได้อธิบายที่มาของหนังสือและข้อสังเกตจากหลักฐานที่ใช้ระบุช่วงเวลาการแต่งหนังสือนางนพมาศ
ซึ่งวรรณกรรมดังกล่าวได้อ้างว่าแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัย
แต่เนื่องจากสำนวนภาษาที่ใช้ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ใช้ในวรรณกรรมสุโขทัย ซึ่ง นิธิ
กล่าวว่า สิ่งที่หนังสือนี้อ้างถึงไม่เป็นหลักฐาน สอว่าเป็นงานเก่ายุคสุโขทัย
แต่กระนั้นก็เป็นต้นแบบที่นำมาดัดแปลงต่อเติม ในพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน
ของรัชกาลที่ 5 ด้วยทรงเชื่อว่าอาจจะมีต้นแบบจริง ๆ
ที่แต่งในสมันสุโขทัย พระราชพิธีที่เขียนในหนังสือนางนพมาศนั้น บางอย่างก็มี
บางอย่างก็สลับสับเปลี่ยนในเรื่องเดือนที่จัดในพระราชพิธีกับบันทึกทางประวัติศาสตร์
และบางอย่างก็ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยแต่มีการอ้างถึง เช่นพระราชพิธีวิสาขบูชา
ซึ่งในบทความกล่าวไว้ว่า ไม่มีหลักฐานที่กล่าวถึงในสมัยอยุธยา แต่เพิ่งจะมี พระราชพิธีนี้ในสมัยรัชกาลที่
2 เมื่อ พ.ศ. 2360 และพระราชพิธีส่วนใหญ่
จัดขึ้นก่อนสมัยรัชกาลที่ 4 (ซึ่งส่วนใหญ่ในหนังสือนางนพมาศ
เป็นพระราชพิธีพราหมณ์) จึงเป็นข้อยืนยันได้ว่า วรรณกรรมเรื่องนางนพมาศ
เป็นวรรณกรรมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งสาเหตุที่ผู้แต่งเรื่องนางนพมาศ
กล่าวอ้างถึงพระราชพิธีในช่วงรัตนโกสินทร์ ให้ปรากฏ ในสมัยสุโขทัย นิธีได้ให้เหตุผลว่า ผู้แต่งเรื่อง นางนพมาศ ได้อาศัยคำให้การของ ขุนหลวงหาวัด
(ฉบับหลวง) หรือ “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” ซึ่งมีฉบับอยู่ก่อน พ.ศ. 2350
(นิธิ 2521, 251-4)
และได้อาศัยประสบการณ์ของตนเองในฐานะที่ใกล้ชิดกับราชการ
ได้รู้เห็นการพระราชพิธีและพิธีที่จัดในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
ปรุงแต่งเขียนขึ้นว่าเป็นสมัยสุโขทัย (ปากไก่และใบเรือ 2553, 296) ซึ่งพระราชพิธีทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนขึ้นในวรรณกรรม
ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้แต่งได้ประสบพบเจอมาในชีวิต ประกอบกับการศึกษา
จากหลักฐานคำบอกเล่า จึงทำให้ตัวเรื่อง พระราชพิธีในนางนพมาศ
จึงมีลักษณะอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าทั้งจุดมุ่งหมายของเรื่องนางนพมาศ ที่เด่นชัดคือ
การสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้หญิง ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวก็ไม่ได้แตกต่างจากวรรณกรรมร่วมสมัยเดียวกัน
(ต้นรัตนโกสินทร์) เช่น สุภาษิตสอนหญิง กฤษณาสอนน้อง เป็นต้น
และจุดมุ่งหมายอีกอย่าง คือต้องการให้นางนพมาศ
(ในเรื่องที่สมมติว่ามีตัวตนอยู่จริง) เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงโดยใช้พระราชพิธีที่เขียนขึ้นนั้น
แสดงเหตุการณ์ที่พบเจอหรือประวัติของตนเอง
ซึ่งเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของผู้แต่งที่ต้องการให้วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ของตนเสมือนเป็นวรรณกรรมสุโขทัย
หัวข้อที่ 2 “โลกของหนังสือ นางนพมาศ”
เป็นการกล่าวถึงช่วงเวลาที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนางนพมาศ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่มีชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในสยามประเทศสมัยต้นรัตนโกสินทร์
โดยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือชาวจีนอพยพเข้ามาซึ่งมีจำนวนเยอะกว่าชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศ แม้ว่าจะมีจำนวนที่เยอะกว่าแต่วัฒนธรรมก็มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งดูได้จากวิธีการักษาหรือการแพทย์ต่างกันตรงเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้รักษาแต่การรักษาใช้การต้มยากินเหมือนกันซึ่งนิธิได้กล่าวในทำนองนี้ สิ่งที่เข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงในสังคมจากการเข้ามาของชาวต่างชาติคือวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาในช่วงต้นรัตนโกสินทร์
วิทยาการความรู้สมัยใหม่จากตะวันตกส่งผลกระทบต่อโลกทรรศน์เก่าของสังคม
วิทยาการความรู้ที่เคยมีถูกแทนที่จาก “ต่างด้าว”
ด้วยวิชาการที่ล่ำกว่าและแม่นยำกว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่สั่นคลอนโลกทรรศน์เก่าจากวัฒนธรรมตะวันตก
“หนังสือเรื่อง นางนพมาศ จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นวรรณกรรมที่สะท้อน “โลก”
ที่กำลังเปลี่ยนแปลงในความคิดของคนไทย (ชั้นสูง) เอาไว้อย่างเด่นชัด”
(ปากไก่และในเรือ. 2555, 303)
หัวข้อที่ 3 “ลักษณะเด่นของเรื่อง นางนพมาศ ด้านวรรณกรรม”
เป็นหัวข้อที่อธิบายลักษณะของเรื่องนางนพมาศ โดยในงานวรรณกรรมเรื่องดังกล่าวมีการใช้ภาษาประเภทความเรียงกึ่งร้อยแก้ว
ซึ่งคำประพันธ์ประเภทนี้ส่วนใหญ่มักใช้ในวรรณกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือวรรณกรรมแปลซึ่งจะมีความเป็นนิยายในเรื่อง แต่เรื่องนางนพมาศ
นั้นเป็นเรื่องที่ผู้แต่งต้องการที่จะสร้างภาพลักษณ์ของบ้านเมืองในสมัยสุโขทัยโดยที่ไม่ให้เหมือนกับเมืองหลวงที่ตนอาศัย (กรุงเทพฯ)
แต่ก็อาศัยเมืองที่ตนเองอยู่นั้นเป็นแบบอย่างของเมืองสุโขทัย
เรื่องนางนพมาศพยายามทำให้ในเนื้อเรื่องดูเป็นสมัยสุโขทัย โดยมีการอ้างถึงพระพุทธรูปโบราณในสมัยสุโขทัยเข้าไปในเรื่อง
ซึ่งผู้เขียนต้องการให้ฉากเป็นตัวทำให้ตัวเอกของเรื่องหรือนางนพมาศ มีลักษณะเด่นชัดโดยใช้เหตุการณ์หรือฉากในเรื่อง ไม่มีการดำเนินที่ซ้ำในสภาพแวดล้อมเฉพาะ(ผู้เขียนกำหนด)
แต่ใจความสำคัญของเรื่องก็ยังคงเป็นการสั่งสอนสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น
ทำให้เรื่องนางนพมาศแตกต่างจากวรรณกรรมร่วมสมัยเดียวกัน
แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ทีละนิด
ในบทความยังกล่าวถึงลักษณะเด่นอีกอย่างคือตัวเอกของเรื่องเป็นผู้หญิง (นางนพมาศ)
ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากตัวละครฝ่ายหญิงเรื่องอื่น ๆ
โดยผู้แต่งเองไม่ต้องการแต่งตามจารีตเดิม ๆ
ที่ผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุที่รอการมาแย่งชิงและไม่ค่อยมีบทอะไรในเรื่อง
ซึ่งนางนพมาศเป็นตัวละครที่มีความปรารถนาที่จะให้ตนมีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำจากการนำเสนอเรื่องราวที่พบเห็นและได้กระทำในชีวิตของนางนพมาศ และเป็นสตรีที่ต้องการยกตัวเองว่าเป็นนักปราชญ์ ดูได้จาก “
...ก็ได้ปรากฏชื่อเสียงว่าเป็นสตรีนักปราชญ์ฉลาดในวิชาช่างอยู่
ซึ่งกัลปาวสาน...”(นพมาศ. 2507, 354)
โดยนิธิได้กล่าวในทำนองที่ว่าผู้แต่งเรื่องนางนพมาศ ต้องการเขียนให้ผู้หญิงเทียบเท่ากับผู้ชาย
ซึ่งตัวเขาเองก็ได้มองเห็นความสามารถของผู้หญิงที่มากกว่านักเขียนในรุ่นก่อนหน้านั้น
โครงเรื่องก็เป็นอีกสิ่งที่บทความได้กล่าวไว้ โดยโครงเรื่องนั้นจะใช้ประวัติของตัวเอกเป็นแกนหลัก
เล่าเรื่องแบบเรียบๆ ที่ไม่ได้มีปมปัญหา หรือเป็นนิยาย ทำให้ดูเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารอะไรเหมือนกับวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ เป็นการเล่าประวัติชาติกำเนิดของตัวเอก
(พราหมณ์หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้น) และการศึกษาที่ตนได้เรียนมา
ซึ่งในส่วนของการศึกษานั้น นางนพมาศ ได้เล่ามาอย่างละเอียดว่าตนได้ศึกษาอะไรบ้าง
การศึกษาดังกล่าวที่นางนพมาศศึกษา เป็นแบบเดียวกับ เจ้าชายหรือชนชั้นสูงที่ผู้ชายในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้นสะท้อนให้เห็นความเป็นมนุษย์ในส่วนของความเท่าเทียมของชายหญิง ในเรื่องการศึกษา ประกอบกับการศึกษาดังกล่าวเป็นตัวแปรที่จะทำให้นางนพมาศนั้นมีชื่อเสียง
ในประวัติที่แต่งขึ้นมานั้นก็ยังแฝงด้วยเรื่องทางสังคม เช่น เรื่องการค้าในเมือง
ไปจนถึงอาชีพต่าง ๆ ที่ปรากฏ แสดงถึงความเจริญรุ่งเรื่องในนครธรรม
อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในเรื่อง คือการกล่าวถึงพระราชพิธี
ในเรื่องของนางนพมาศ พระราชวิธี
มีหน้าที่ในวรรณกรรมอยู่สามอย่าง อย่างแรก
เป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะของตัวละครให้ดูสมจริงเนื่องจากพ่อของนางนพมาศเป็นพราหมณ์ที่ทำพิธีให้ราชสำนักจึงคลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้นางนพมาศเองก็เช่นกัน อย่างที่สอง
พระราชวิธีเป็นสิ่งติดต่อกับโลกภายนอกเนื่องจากตัวของนางนพมาศเป็นคนในรั้วในวังสิ่งที่สามารถบอกเหตุการณ์ต่างๆได้เกี่ยวกับโลกภายนอกก็มีพระราชพิธีที่เคยทำมาแล้วและทำต่อไปในอนาคต และอย่างสุดท้าย
พระราชวิธีเป็นเครื่องหมายของการผ่านของเวลา (หน้า310) ซึ่งเป็นกลวิธีในวรรณกรรมที่บอกลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง
ของเรื่องที่ใช้กันในวรรณกรรมอยุธยา เช่น เรื่องทวาทศมาส
จากลักษณะที่กล่าวทั้งหมดของเรื่องนางนพมาศ
สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความคิดทางสังคมที่มีต่อโลกทรรศน์ที่เกิดขึ้น
ซึ่ง นิธิ ได้กล่าวว่า เรื่องนางนพมาศ นำเสนอสิ่ง “ใหม่” อย่างแหลมคมและชัดเจนกว่า
นำเอาความเปลี่ยนแปลงที่มีมาก่อนหน้าให้ก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง (ปากไก่และใบเรือ 2555,310)
“โลกของนางนพมาศ”
คือหัวข้อที่สี่
ในบทความที่บรรยายถึงโลกทรรศน์ในเรื่องนางนพมาศ เริ่มต้นจากการอธิบายการกำเนิดของมนุษย์ที่อิงมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ แต่ในการแบ่งโลกในเรื่องนางนพมาศเป็นแบบวิธีการแบ่งตามแบบไตรภูมิพระร่วงแต่ต่างกันตรงที่ศูนย์กลางของโลกในเรื่องนั้นไม่มี มีแต่ความเท่าเทียมกัน
ซึ่งถือว่าเป็นโลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคม
การบรรยายเรื่องภาษาในเรื่องนางนพมาศก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนน่าจะนำเอามาจากประสบการณ์ที่พบในชีวิตของผู้แต่งในเรื่องภาษา
นิธิได้กล่าวว่า “การบรรยายชาติของภาษาของ โลก”
ที่เป็นจริงว่าคือ ความรู้อันควรรู้ (ปากไก่และใบเรือ 2555,313) โลกของมหาจักรพรรดิราชในไตรภูมิพระร่วงแตกต่างกับโลกของมหาจักรพรรดิราชในเรื่องนางนพมาศ
โดยไตรภูมิพระร่วงพระมหาจักรพรรดิราชเป็นใหญ่สุดในโลกและทุกอาณาจักรก็ขึ้นตรงกับพระมหาจักรพรรดิราช ส่วนเรื่องนางนพมาศพระมหาจักรพรรดิราชมีความเท่าเทียมกันกับกษัตริย์อาณาจักรอื่นๆ ซึ่งกษัตริย์ในโลกของนางนพมาศมีความใกล้เคียงกับในโลกปัจจุบัน
ส่วนภาษาที่นางนพมาศกล่าวถึงก็หมายถึงประเทศต่างๆที่มีอยู่ในโลก
“โลกที่นางนพมาศเสนอจึงเป็นโลกที่ไกลจากโลกในอุดมคติอย่างที่ตำราในอุดมคติไตรภูมิเก่าได้เคยเสนอมา
หากแต่เป็นโลกที่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็น “จริง”
ตามสายตาและประสบการณ์ในชีวิตสมัยที่ผู้แต่งมียังชิวิตอยู่” (ปากไก่และใบเรือ 2555,316)
ซึ่งในความหมายอีกอย่างของตัวโลกของนางนพมาศ
เกิดจากประสบการณ์ที่ผู้แต่งได้พบเห็นและถ่ายทอดมาผ่านเรื่องราวและตัวละครของเรื่อง
แต่ประสบการณ์ที่ว่าแปรสภาพกลายเป็นความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นให้กลายเป็นความรู้ที่แตกต่างจากความรู้เก่า และเป็นที่ลบล้างความรู้ที่เคยมีมา แต่โลกทรรศน์ของเรื่องนางนพมาศก็ไม่ได้แตกต่างจากโลกที่เป็นอยู่ของผู้เขียนที่เน้นในความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และความสัมพันธ์ของมนุษย์
“เรื่อง นางนพมาศ
ในสายธารแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านโลกทรรศน์ในต้นรัตนโกสินทร์” หัวข้อที่ห้า
ที่ต้องการชี้ว่าวรรณกรรมเรื่อง นางนพมาศ
ไม่ใช่วรรณกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางโลกทรรศน์เพียงเรื่องแรกและเรื่องเดียว
แต่มีวรรณกรรมที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านั้น ดูได้จากวรรณกรรมเรื่อง
ไตรภูมิวินิจฉัย ของรัชกาลที่ 1
ซึ่งแตกต่างจากไตรภูมิพระร่วง ทั้งเรื่องศูนย์กลางของจักรวาลที่แต่เดิมคือเขาพระสุเมรุเปลี่ยนมาโพธิบัลลังก์ แทน
ให้ความสนใจในหลักธรรมคำสอนมากกว่าการบรรยายเรื่องภพภูมิ อธิบายเรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ซึ่งในไตรภูมิพระร่วงนั้นไม่มีการกล่าวถึง
ทั้งยังมีการนำเอาเรื่องกำเนิดมนุษย์ไว้ที่ต้นเรื่องซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นความสำคัญของมนุษย์ และวรรณกรรมในยุคหลังจากเรื่องนพมาศที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงเรื่องโลกทรรศน์คือ เรื่อง แสดงกิจจานุกิจ ของพระยาทิพากรวงศ์
ที่แสดงออกถึงความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงกว่าเรื่องนางนพมาศ
เนื่องจากผู้เขียนเรื่องดังกล่าวมีความคุ้นเคยกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตก
จึงทำให้งานเขียนเรื่องแสดงกิจจานุกิจมีเนื้อหาที่โจ่งแจ้งและตรงไปตรงมาในเรื่องโลกทรรศน์โดยเน้นในเรื่องวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้
ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ในสมัยนั้น
โดยในบทความต้องการจะสื่อถึงความคิดของผู้แต่งทั้งเรื่องแสดงกิจจานุกิจ และ
เรื่องนางนพมาศก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากความเปลี่ยนแปลงหรือ
“กระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลกทรรศน์” ในสมัยนั้น
หัวข้อสุดท้าย “ฐานะของเรื่อง นางนพมาศ
ในประวัติศาสตร์ความคิด”
เป็นการแสดงถึงความคิดในเรื่อง นางนพมาศ
ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกทรรศน์ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์
เป็นสิ่งที่ผู้แต่งรับแล้วนำมาปรับใช้
และเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของวรรณกรรมในช่วงนั้นที่แตกต่างไปจากวรรณกรรมรูปแบบเก่า
“โลก” ของนางนพมาศจึงเป็น “โลก” ที่สำคัญอันเชื่อมโลกยุคต้นรัตนโกสินทร์ ให้สืบเนื่องกับยุค “ปฏิรูปใหญ่”
(ปากไก่และใบเรือ 2555,325)
อ้างอิง
นิธิ
เอียวศรีวงศ์ . 2555 . ปากไก่และใบเรือ. พิมพ์ครั้งที่ 4. นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น